การแข่งเดินแตกต่างจากการแข่งวิ่งอย่างไร

สังคมที่ต้องนั่งอยู่กับบ้านเป็นเวลานานบางคนก็เกิดอาการเบื่อๆ ทำให้ความต้องที่จะออกนอกบ้านเพื่อจะได้ผ่อนคลายความเครียดบ้าง ดังนั้นการออกกำลังการที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมานักก็คงหนีไม่พ้นการออกไปวิ่งหรือเดินเล่นใกล้ๆบ้านคงเป็นการดีที่สุดแล้วกหรือไม่ก็ไปตามฟิตเนสที่เขาจัดโปรโมชั่น แจก โบนัสฟรีสปิน ให้กับสมาขิกที่มาลงทะเบียน แต่ถ้าหากเราต้องการค้นหาฟิตเนสที่มีอยู่เป็นจำนวนมากเราก็หา อ่านรีวิวดีๆ ได้เพื่อจะเจอฟิตเนสที่ถูกใจก็อาจเป็นได้ การออกกำลังการเชิงกีฬาแบบเดินและแบบวิ่ง การได้มีการจัดเป็นกีฬามีการแข่งขันกันไปทั่วโลกเลย

กรีฑาประเภทเดินมีประโยชน์ ทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและสุขภาพ  

จากการวิจัยพบว่ากรีฑาประเภทเดินมีประโยชน์มากมายรวมถึงโอกาสเสี่ยงที่จะบาดเจ็บก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเราไม่ต้องกังวลใจมากนักเช่นเดียวกับการวิ่งก็อาจจะเกิดอาการบาดเจ็บขึ้นได้ทุกขณะย่างก้าว อย่างไรก็ตามทั้งสองอย่างนี้มีภาพลักษณ์ที่แตกต่างกัน นักกรีฑาประเภทเดินจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมาก ระยะทางในการแข่งขันกรีฑาประเภทเดินในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนอยู่ที่ 50 กิโลเมตรซึ่งยาวกว่าการแข่งขันมาราธอนประมาณห้าไมล์หรือแปดกิโลเมตร ซึ่งการแข่งขันกรีฑาประเภทเดินในโอลิมปิกก็มีระยะทาง 20 กิโลเมตรเช่นกัน แต่กฎของกรีฑาประเภทเดินมีอยู่ว่าเข่าของนักกรีฑาจะต้องเหยียดตรงจากการก้าวขาขณะที่เท้าอีกข้างก็ต้องสัมผัสพื้นตลอดเวลาซึ่งนักกีฬาเดินทนต้องพยายามรักษากฏระเบียนบอย่างเคร่งครัดเพื่อจะได้ไปให้ถึงเป้าหมายเส้นชัยทันตามเวลาที่ได้กำหนดไว้

กรีฑาประเภทเดินเป็นกีฬาที่มีเสน่ห์และน่าสนใจไปทั่วโลก

กรีฑาประเภทเดินเป็นการออกกำลังกายที่ต้องอาศัยความอุตสาหะและการเตรียมตัวของร่างกายให้มีความพร้อมก่อนที่จะลงการแข่งขัน นักกรีฑาส่วนใหญ่ต้องก้าวให้ได้ระยะทางหกไมล์หรือราวสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยจะเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 800 แคลอรี่ซึ่งมากกว่าการเดินปกติถึงสองเท่า ด้วยท่าทางการเดินที่ดูแล้วอาจจะดูติดตลกไปสักนิดหนึ่ง แต่ก็น้อยกว่าการวิ่งที่มีการเผาผลาญได้มากกว่าถึง 1,000 แคลอรี่ต่อชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตามกีฬาประเภทกรีฑาเป็นการเดิน ที่ไม่ได้ก้าวหนักเท่ากับการวิ่ง ซึ่งการวิ่งในแต่ละก้าวจะกระทบพื้นด้วยความรุนแรงที่หนักกว่าน้ำหนักตัวประมาณสี่เท่า ซึ่งขณะที่นักกรีฑาประเภทเดินเท้าจะต้องสัมผัสกับพื้นตลอดเวลาจะกระทบพื้นหนักกว่าน้ำหนักตัวเพียง 1.4 เท่าเท่านั้น แต่อาการบาดเจ็บที่เกิดจากการวิ่ง ก็จะส่งผลให้มีอาการเจ็บขึ้น เช่น บริเวณที่กล้ามเนื้อหน้าแข้งและเข่าอาจจะเกิดอาการอักเสบขึ้นมาได้ ส่วนนักกรีฑาประเภทเดินโอกาสเกิดอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่รูปแบบการเดินที่แปลกประหลาดจะทำให้เกิดความตึงเครียดบริเวณข้อเท้ากับสะโพก ดังนั้นผู้ที่เคยบาดเจ็บหรือมีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อตลอด ดังนั้นเราควร ศึกษาค้นหา อ่านรีวิวดีๆ เพื่อได้ข้อมูลดีๆจะต้องระมัดระวังในการเล่นกีฬาประเภทนี้เอาไว้บ้างก็ดี ทั้งนี้ผู้ที่สนใจกรีฑาประเภทเดินควรปรึกษาครูฝึกหรือนักกีฬาผู้มีประสบการณ์เพื่อเรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้องและเหมาะสมกับนักกีฬาเองจะได้ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น ที่สำคัญกีฬาชนิดนี้จำเป็นต้องอาศัยการฝึกซ้อมและความอดทนอย่างสูงมากด้วย 

อ้ตราการเผาผลาญให้ได้แคลอรี่

เป็นการออกกำลังกายแบบเข้มข้นปานกลางและ ช่วยลดความวิตกกังวลและอาการซึมเศร้าได้ ถ้าหากเราแบ่งเวลาเป็นออกกำลังกาย 10 นาที สามรอบในหนึ่งวันก็ได้ผลกับสุขภาพจิตเช่นกัน อย่างน้อย 30 นาที 3 วันต่อสัปดาห์อาจจะไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายต่อเนื่องจนครบ 30 นาทีก็ได้

ถ้าหากเรามีเป้าหมายการลดน้ำหนัก ก็ควรออกกำลังกายด้วยการวิ่งจะดีที่สุด

การวิ่งจะสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการเดินถึงสองเท่า ซึ่งการเดินนั้นให้ประโยชน์แบบเดียวกันกับการวิ่ง
-หากเราทำการเดินเร็ว 5.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในระยะเวลาเท่ากันกับการวิ่งจะสามารถเผาผลาญได้ 314 แคลอรี่
-และหากเราออก วิ่งด้วยความเร็ว 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะสามารถเผาผลาญได้ 606 แคลอรี่ และถ้าหากมีน้ำหนัก 72 กิโลกรัม
-เราจำเป็นต้องเผาผลาญให้ได้ 3,500 แคลอรี่เพื่อที่จะลดน้ำหนักให้ได้ 1 ปอนด์หรือ 0.45 กิโลกรัม
แต่ถ้าหากเราไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน การเดินก็จะช่วยให้เรามีรูปร่างที่ดีขึ้น
สรุป 
ไม่ว่าการเดินหรือการวิ่งต่างก็ทำให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหวไปมา และเมื่อเราออกนอกบ้านไปเดินวิ่่่ง ก็จะทำให้เราได้รับกับอากาศที่สดชื่น และได้ชื่นชมวิวสองข้างที่สวยงาม พร้อมกับได้พบปะผู้คนที่มากหน้าหลายตาอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย เป็นการออกกำลังการที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากนัก คุ้มค่ามากทำให้ร่างกายแข็งแรง ดังนั้นเราขอสนับสนุนให้มีการออกไปเดินหรือวิ่่งก็ได้เพื่อสุขภาพที่ดีต่อตัวเราเอง